วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

มะละกอ สรรพคุณและประโยชน์ของมะละกอ 34 ข้อ !


มะละกอ
มะละกอ ชื่อสามัญ Papaya

มะละกอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Carica papaya L. จัดอยู่ในวงศ์มะละกอ (CARICACEAE)

มะละกอเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่มีต้นกำเนิดจากอเมริกากลาง เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทาน มากในบ้านเรา ด้วยการรับประทานสด ๆ หรือนำมาประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกงส้ม หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ได้ มะละกอนั้นจัดว่าเป็นไม้ล้มลุก (หลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดว่า เป็นไม้ยืนต้น)

ประโยชน์ของมะละกอนั้นก็มีค่อนข้างมาก มีสรรพคุณเป็นทั้งยารักษาโรค โดยสรรพคุณมะละกอก็เช่น ใช้เป็นยาระบาย ยาขับปัสสาวะ ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เป็นต้น และยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ธาตุแคลเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน เป็นต้น

แต่มีคำแนะนำว่า ไม่ควรรับประทานมะละกอที่สุกในปริมาณมาก ๆ หรือติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจจะทำให้ผิวของคุณเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้

ประโยชน์ของมะละกอ
มะละกอมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิด ซึ่งช่วยให้สุขภาพของคุณแข็งแรง
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสอยู่เสมอ
ช่วยในการชะลอวัย ลดเลือนและป้องกันการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ
ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
สามารถนำมาใช้เป็นทรีทเม้นท์ทำหน้าให้หน้าใสได้อีกด้วย ด้วยการนำมะละกอสุกผสมกับน้ำผึ้งและนมสด แล้วนำมาปั่นให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำมาทาผิวหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วค่อยล้างออก
ใช้นำมารับประทานเป็นผลไม้หรือของว่าง
ใช้นำมาปรุงเป็นอาหาร เช่น แกงส้ม ส้มตำ เป็นต้น
สามารถนำมะละกอไปใช้หมักให้เนื้อนุ่มได้อีกด้วย เพราะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า Papain ซึ่งเป็นส่วนประกอบของผงหมักสำเร็จรูปที่เราเห็นขายกันอยู่ตามท้องตลาดนั่นเอง
นำมาแปรรูป การแปรรูปมะละกอ เช่น มะละกอแช่อิ่ม มะละกอแผ่น แยมมะละกอ มะละกอเชื่อม ซอสมะละกอ เยลลี่มะละกอ มะละกอแช่อิ่ม มะละกอสามรส มะละกอดอง มะละกอผง เป็นต้น
มีส่วนช่วยกระตุ้นให้มารดามีน้ำนมมากขึ้น
มะละกอ มีส่วนช่วยในการบำรุงประสาทและสมอง
มะละกอ มีเอนไซม์ที่เป็นยาช่วยย่อยอาหาร
ช่วยป้องกันลักปิดลักเปิด หรือเลือดออกตามไรฟันได้
ช่วยรักษาอาการขัดเบา ด้วยการใช้รากสดประมาณ 1 กำมือ รากแห้งอีกครึ่งกำมือ หั่นแล้วนำมาต้มกับน้ำ แล้วนำน้ำมาดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนมื้ออาหาร
เป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้อาการท้องผูก ด้วยการกินเนื้อมะละกอสุก
ช่วยในการย่อยอาหาร
ใช้ฆ่าพยาธิ ด้วยการใช้ยางจากผลดิบซึ่งเป็นยาช่วยย่อยโปรตีน
ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา จากรากมะละกอ
ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
ช่วยรักษาอาการเท้าบวม ด้วยนำใบมะละกอสด ๆนำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาพอกตรงบริเวณนั้น ๆ
ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอก ด้วยใช้รากมะละกอนำมาตำให้แหลกแล้วผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณนั้น ๆ
ใช้รักษาอาการผดผื่นคันขึ้นตามลำตัว ด้วยใช้ใบมะละกอ 1 ใบ เกลือ 1 ช้อนชา น้ำมะนาวจำนวน 2 ผล นำมาตำรวมกันให้ละเอียดแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นผดผื่น
ช่วยรักษาโรคกลาก เกลื้อน เท้าเปื่อย ด้วยการใช้ยางมะละกอดิบมาทาวันละ 3 ครั้ง จะสามารถช่วยฆ่าเชื้อราได้
ช่วยรักษาอาการคันอันเกิดมาจากพิษของหอยคัน ด้วยการใช้ยางมะละกอดิบ ๆนำมาทาทั้งเช้าและเย็น
หากโดนเสี้ยนหรือหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน หากนำยางมะละกอดิบมาทาหนามจะหลุดออกมา แต่ให้บ่งเปิดปากแผลก่อน
หากโดนตะปูตำเท้าเป็นแผล ให้นำผิวของลูกมะละกอดิบมาตำแล้วนำมาพอกแผล โดยเปลี่ยนใหม่วันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลพุพอง อักเสบ ด้วยการใช้ใบมะละกอที่แห้งกรอบนำมาบดให้เป็นผง นำไปผสมกับน้ำกะทิผสมให้พอเหนียว แล้วนำมาทาแผลวันละ 3 ครั้ง
ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการใช้เนื้อมะละกอดิบ ๆ นำมาต้มจนเปื่อย ๆ นำมาตำแล้วนำมาพอกบริเวณบาดแผล
ใช้รักษาอาการปวดหลังปวดข้อต่าง ๆ ด้วยรับประทานมะละกอสุกอย่างต่อเนื่องจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้
ช่วยรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้อไม่มีแรง ด้วยการใช้รากมะละกอตัวผู้นำมาแช่เหล้าขาวทิ้งไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำมาบริเวณที่ตามกล้ามเนื้อ หรือบริเวณที่กล้ามเนื้ออ่อน แรง
ช่วยลดอาการปวดบวม ด้วยการนำใบมะละกอสด ๆ ไปย่างไฟหรือใช้น้ำร้อนลวก แล้วนำมาประคบบริเวณที่มีอาการ หรือนำมาตำให้พอพยาบแล้วห่อด้วยผ้าขาวบางนำมาทำเป็นลูก ประคบก็ใช้ได้เหมือนกัน
ช่วยป้องกันการเกิดอาการตับโต หรือโรคที่เดียวกับตับ
เป็นยาช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง
มีงานวิจัยมะละกอพบว่า การรับประทานมะละกอเป็นประจำมีส่วนช่วยในการต่อต้านโรคมะเร็งได้
advertisements


คุณค่าทางโภชนาการของมะละกอดิบ ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 43 กิโลแคลอรี่
คาร์โบไฮเดรต 10.82 กรัม
น้ำตาล 7.82 กรัม
เส้นใย 1.7 กรัม
ไขมัน 0.26 กรัม
โปรตีน 0.47 กรัม
วิตามินเอ 47 ไมโครกรัม 6%
เบต้าแคโรทีน 274 ไมโครกรัม 3%
ลูทีน และ ซีแซนทีน 89 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.023 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี2 0.027 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี3 0.357 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี5 0.191 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี6 0.038 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี9 38 ไมโครกรัม 10%
วิตามินซี 62 มิลลิกรัม 75%
วิตามินอี 0.3 มิลลิกรัม 2%
วิตามินเค 2.6 ไมโครกรัม 2%
ธาตุแคลเซียม 20 มิลลิกรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.25 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 21 มิลลิกรัม 6%
ธาตุแมงกานีส 0.04 มิลลิกรัม 2%
ธาตุฟอสฟอรัส 10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุโพแทสเซียม 182 มิลลิกรัม 4%
ธาตุโซเดียม 8 มิลลิกรัม 1%
ธาตุสังกะสี 0.08 มิลลิกรัม 1%
ไลโคปีน 1,828 ไมโครกรัม
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

คุณค่าทางโภชนาการของมะละกอสุก ต่อ 100 กรัม
โปรตีน 0.5 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
วิตามินซี 70 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 24 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.6 มิลลิกรัม
ธาตุโซเดียม 4 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.4 มิลลิกรัม
ที่มาจากhttp://frynn.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD/

มะละกอ (9) เทคนิคการปลูกมะละกอ

ตอนกิ่งมะละกอ ง่ายนิดเดียว
การตอนกิ่งมะละกอ
ในการปลูกมะละกอ  เกษตรกรส่วนใหญ่จะซื้อเมล็ดพันธุ์มะละกอที่มีคุณภาพดีจากท้องตลาดมาปลูก โดยวิธีการเพาะเมล็ด แต่หลังจากที่ได้ผลผลิตรุ่นแรกแล้ว เกษตรกรจะไม่สามารถนำเมล็ดจากมะละกอที่ปลูกได้ในรุ่นแรกมาขยายพันธุ์ต่อได้ เนื่องจากทางบริษัทที่เราไปซื้อเมล็ดพันธุ์มาได้ควบคุมไม่ให้ขยายพันธุ์ได้นั่นเอง หากเกษตรกรจะทำการปลูกใหม่จำต้องไปซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่มาปลูก ดังนั้น  คุณคำนึง นวลมณีย์ และโรงเรียนบ้านหว้าหลัง จึงได้คิดค้นหาวิธีการ ทำให้มะละกอขยายพันธุ์ได้โดยไม่ต้องใช้เมล็ดโดยการตอนกิ่ง ซึ่งมะละกอที่ได้จากการตอนกิ่งจะมีลักษณะดังนี้ - มะละกอที่ได้จะมีขนาดลำต้นที่เตี้ย - มะละกอจะไม่กลายพันธุ์ - ลักษณะของเนื้อและผลของมะละกอจะมีรสชาติคงเดิม

วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการตอนกิ่งมะละกอ
1.ดินร่วน
2.ขุยมะพร้าว
3.ยางหรือเชือกฟาง
4.มีด
5.ถุงพลาสติก

วิธีการตอนกิ่งมะละกอ
เตรียมต้นพันธุ์มะละกอ (ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน)
1.ให้นำดินร่วนผสมกับขุยมะพร้าว ในอัตราส่วน 3:1 มาผสมให้เข้ากัน
2.นำดินที่ผสมแล้วใส่ในถุงพลาสติกขนาด 3*5 นิ้ว
3.เลือกต้นพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์
4.ใช้มีดเฉือนกิ่งพันธุ์ จากข้างล่างขึ้นข้างบน
5.ใช้ลิ่มไม้เสียบเข้าไปในบริเวณที่เฉือนเพื่อไม่ให้เนื้อไม้ติดกัน
6.นำดินที่ใส่ในถุงกรีดกรีดถุงยาวพอสมควร รดน้ำให้ชุ่มแล้วไปวางทับกับรอยที่เฉือนกิ่งเอาไว้
7.ผูกเชือกให้แน่น
8.เฉือนท่อน้ำเลี้ยงห่างลงมาจากกิ่งตอน ประมาณ 3-5 นิ้ว เพื่อเป็นการตัดท่อลำเลียงธาตุอาหารและน้ำ เมื่อขาดธาตุอาหาร ขาดน้ำ จะทำให้รากของมะละกองอกออกมาเร็วขึ้น
9.ในระยะเวลา 30-45 วันรากของมะละกอก็จะออกรากออกมา ซึ่งเราสามารถตัดนำไปปลูกได้แล้ว
ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร *1677
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สงขลา

เขียนโดย Sivakorn (korn.tym@gmail.com) ที่ 23:20 ไม่มีความคิดเห็น:

เทคนิคเด็ด ทำเมล็ดพันธุ์มะละกอให้เป็นต้นกระเทย 90 %
ง่ายๆ แค่นำเมล็ดพันธุ์มะละกอแช่เย็น ก็เป็นต้นกระเทย 90%
การปลูกมะละกอเพื่อขายผลดิบ เรื่องความหนาของชั้นเนื้อ รสชาติ ขนาดและรูปทรงผลของมะละกอ จะต้องเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งความโดดเด่นของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มักจะพบอยู่ในผลผลิตของมะละกอต้นกะเทยมากกว่าต้นอื่น
ดังนั้นในการเพาะปลูกมะละกอเพื่อจำหน่ายผลสด ชาวสวนจะคิดหาเทคนิคต่างๆ มาใช้ในการแปลงเพศมะละกอ ให้ได้ต้นที่สมบูรณ์เพศหรือต้นกะเทยมากที่สุด โดยลดอัตราการเกิดต้นตัวผู้และต้นตัวเมียลง ซึ่งในสามารถทำได้หลายวิธีในขณะที่มะละกอยังเล็กหรือเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเมล็ดพันธุ์ ทั้งนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์ของต้นทุนในการผลิต และการจัดการสวนในส่วนที่จะต้องไปคัดแยกต้นเพศผู้และต้นตัวเมียออกจากแปลงเป็นหลัก
ที่สวนสุขแต่เช้าของคุณทรงธรรม ไทยราช อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ที่ค้นพบวิธีบังคับเพศมะละกอให้มีเปอร์เซ็นต์ต้นสมบูรณ์เพศได้สูงกว่า 90% ซึ่งคุณทรงธรรมได้ให้ข้อมูลผ่านนิตยสารไม่ลองไม่รู้ เพื่อเกษตรวันนี้ ฉบับเดือนมกราคม พ.ศ.2553 ไว้ดังนี้
เทคนิคการเปลี่ยนเพศมะละกอผ่านความเย็น
** กล้าพันธุ์ที่ผมเพาะได้ส่วนใหญ่จะมีเปอร์เซ็นต์ต้นสมบูรณ์เพศสูงถึง 90 % **
โดยเริ่มจากการคัดเลือกต้นมะละกอที่ให้ผลดก รูปทรงสวย ต้นแข็งแรงไม่เป็นโรค เจริญเติบโตดี จากแปลงปลูก แล้วนำเมล็ดที่ได้จากต้นดังกล่าวมาลอยน้ำ เพื่อคัดเอาแต่เมล็ดที่จมน้ำ ซึ่งเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์ดี แล้วคัดเมล็ดส่วนที่ลอยน้ำทิ้งไป
จากนั้นนำเมล็ดที่จมน้ำไปผึ่งลมให้แห้ง เมื่อเมล็ดแห้งสนิทดีแล้วจึงนำเมล็ดทั้งหมดไปเก็บรักษาไว้ในตู้เย็น เมื่อต้องการใช้เมล็ดไปขยายพันธ์ต่อให้นำเมล็ดเหล่านั้นมาห่อผ้าแล้วแช่ในน้ำอุ่น นาน 3-4 ชั่วโมง ก่อนนำเมล็ดไปเพาะตามปกติ ก็จะทำให้ได้เปอร์เซ็นต้นสมบูรณ์เพศหรือต้นกระเทยสูง ซึ่งคุณทรงธรรมได้กำชับอีกด้วยว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลดีทุกครั้ง หากเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ที่ไม่เคยนำเมล็ดไปแช่ในตู้เย็น ผลปรากฏว่า ต้นมะละกอที่เพาะได้กลายเป็นต้นตัวเมียเยอะมาก ทำให้ต้องตัดทิ้งทั้งหมด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : คุณทรงธรรม ไทยราช อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว

 เขียนโดย Sivakorn (korn.tym@gmail.com) ที่ 23:16 ไม่มีความคิดเห็น:

ปลูกมะละกอให้เป็นต้นสมบูรณ์เพศ (ต้นกระเทย) 99%
เทคนิคปลูกมะละกอ ให้เป็นต้นกระเทย ผลผลิตสูง
ใน วงการมะละกอ ก็รู้กันอยู่นะครับว่า ต้นมะละกอที่ให้ผลผลิตดี และเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด ก็คือมะละกอที่ออกจากต้นสมบูรณ์เพศ หรือเรียกอีกอย่างว่า ต้นกระเทย นั่นเองครับ  แต่เราจะปลูกอย่างไรให้ต้นมะละกอที่เราปลูกเป็นต้นสมบูรณ์เพศ เกือบ 100 % มาดูวิธีกันครับ
ให้นำต้นกล้าเรียงกระจายไว้ตามหลุมต่าง ๆ หลุมละหนึ่งถุง หลังจากนั้นกรีดถุงพลาสติกออก เอาต้นกล้าวางให้ตรงตำแหน่งระยะปลูกกลางหลุม กลบดินให้แน่นโดยเฉพาะรอบ ๆ ติดกับโคนต้นเพื่อให้รากจับดินใหม่ได้เร็ว ต้นจะตรงกันทุกแถวแล้วรดน้ำให้ชุ่มการปลูกมะละกอเป็นการค้า แม้ว่าจะใช้เมล็ดจากผลมะละกอสมบูรณ์เพศ แต่เมล็ดที่ปลูกจะได้ต้นมะละกอสมบูรณ์เพศเพียง 66 เปอร์เซ็นต์ อีก 33 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้นเพศเมียซึ่งผลกลมตลาดให้ราคาถูก ถ้าอยากได้มะละกอผลยาวมากขึ้น ให้ปลูกต้นมะละกอให้มากต้นต่อหลุม และตัดต้นเพศเมียออกเมื่อออกดอกแล้ว จะได้ต้นสมบูรณ์เพศมากขึ้น

แสดงจำนวนต้นต่อหลุมกับอัตราส่วนต้นเพศเมียและต้นสมบูรณ์เพศ
- จำนวน 1 ต้นต่อหลุม จะได้ต้นเพศเมีย 33.33 % ต้นสมบูรณ์เพศ 66.67 %
- จำนวน 2 ต้นต่อหลุม จะได้ต้นเพศเมีย 11.11 % ต้นสมบูรณ์เพศ 88.89 %
- จำนวน 3 ต้นต่อหลุม จะได้ต้นเพศเมีย 3.70 % ต้นสมบูรณ์เพศ 69.30 %
- จำนวน 4 ต้นต่อหลุม จะได้ต้นเพศเมีย 1.23 % ต้นสมบูรณ์เพศ 98.77 %
***ในทางปฏิบัติใช้ต้นปลูก 2 ต้นต่อหลุมก็พอ ในหนึ่งร้อยหลุมหลังจากตัดต้นตัวเมียออกจะเหลือต้นสมบูรณ์เพศเท่ากับ 88.89 x 2 = 176 ต้น ทำให้ได้ผลผลิตขายมากขึ้นด้วย

การให้น้ำในระบบชลประทาน :
ถ้าเกษตรกรปลูกมะละกอช่วงต้นฤดูฝนจะช่วงประหยัดทุนและแรงงานในการให้น้ำ โดยเฉพาะในช่วงปลูกใหม่ ๆ จะต้องให้น้ำกับต้นกล้ามะละกอจนกว่าจะตั้งตัวได้ โดยรดน้ำ 2-3 วันต่อครั้ง และที่สำคัญคือช่วงที่มะละกอออกดอกติดผลเป็นช่วงที่ต้องการน้ำมาก การขาดน้ำจะทำให้ดอกร่วง ผลร่วง ผลไม่สมบูรณ์ การให้น้ำกับต้นมะละอกอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้มะละกอมีผลผลิตสูง โดยเฉพาะมะละกอที่ปลูกในที่ดอนหรือในเขตจังหวัดในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(พื้นที่ดินร่วนปนทราย)

การให้ปุ๋ยมะละกอ
ปุ๋ยมะละกอที่เตรียมไว้สำหรับรองก้นหลุมนั้นยังไม่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของมะละกอ จำต้องมีการใช้ปุ๋ยเสริมเพิ่มขึ้น เพื่อให้มะละกอมีการเจริญเติบโตเต็มที่มีลำต้นที่สมบูรณ์แข็งแรง การใส่ปุ๋ยอินทรีย์จะใส่หลังจากปลูกแล้ว 2-3 เดือนโดยแบ่งใส่ 3-4 ครั้ง ในระยะ 1 ปี ตลอดช่วงฤดูฝน แบ่งใส่ครั้งละประมาณ 5 กิโลกรัมต่อต้น ปุ๋ยวิทยาศาสตร์อาจใช้ปุ๋ยทางใบสูตร 21-21-21 ชนิดที่มีอาหารธาตุรองฉีดพ่นทุก 14 วันต่อครั้ง หลังย้ายปลูกเพื่อให้ต้นกล้าแข็งแรง โดยใช้ในอัตรา 2-3 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร ขณะเดียวกันก็อาจใช้ปุ๋ยทางดินสูตร 15-15-15 อัตราต้นละ 50 กรัม หลังจากย้ายปลูก 1 เดือน และใส่ปุ๋ยทุกเดือนจนถึงเดือนที่ 3 หลังย้ายปลูกจะใส่เพิ่มเป็นต้นละ 100 กรัมทุกเดือน เมื่อมะละกอติดผลแล้วจะใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 100 กรัม ผสมกับยูเรีย อัตรา 50 กรัมต่อต้น
*** วิธีการให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ทางดิน ให้ใช้การหว่านลงบนดินบริเวณทรงพุ่ม (รัศมีทรงพุ่มของมะละกอ) แล้วพรวนดินกลบ รดน้ำตามอย่าใส่ปุ๋ยชิดโคนต้น เพราะจะทำให้มะละกอเสียหายได้

การกำจัดวัชพืชในสวนมะละกอ
ในระยะที่ปลูกมะละกอใหม่ ๆ เกษตรกรสามารถปลูกพืชแซมร่วมกับมะละกอในช่องว่างระหว่างแถว ระหว่างต้นได้ เมื่อมีวัชพืชขึ้นควรใช้วิธีการดายหญ้า แต่การดายหญ้าด้วยจอบควรระวังคมจอบสับต้นหรือรากมะละกอจะทำให้ต้นมะละกอชะงักการเจริญเติบโต หรือทำให้เกิดโรครากเน่าได้ ทางที่ดีควรใช้เศษหญ้าแห้งคลุมโคนต้นและแปลงให้หนา ๆ จะทำให้ไม่มีเมล็ดหญ้างอกขึ้นบริเวณนั้น ขณะมะละกอยังต้นเล็ก ห้ามใช้ยาป้องกันกำจัดวัชพืชใดๆ เพราะจะทำให้มะละกอเสียหายได้ ถ้ามะละกอต้นโตแล้วและมีหญ้าฤดูเดียวงอก อาจใช้พาราควอท ฉีดฆ่าหญ้าได้ แต่ระวังอย่าให้โดนใบและผล พาราควอทใช้อัตราประมาณ 60-80 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร

การออกดอกติดผลของมะละกอ
ต้นมะละกอเมื่อย้ายปลูกลงแปลงได้ 8-10 สัปดาห์จะเริ่มออกดอก โดยดอกจะอยู่เหนือก้านใบ และจะเห็นชัดว่าเป็นดอกเพศใด ถ้าเป็นต้นเพศเมียก็ตัดฟันออกในระยะนี้ ถ้าเป็นดอกสมบูรณ์เพศก็เอาไว้บำรุงต้นให้สมบูรณ์แข็งแรงและติดผล เกษตรกรต้องตรวจดูผลที่ติดว่าเป็นดอกสมบูรณ์เพศที่ติดผลเป็นพลูหรือให้ผลบิดเบี้ยวหรือไม่ ถ้ามีก็ให้ปลิดออกตั้งแต่ผลยังเล็ก ๆ หรือแม้ว่าผลที่ปกติในช่อเดียวกันอาจติดผลมาก ผลที่เบียดกันจะไม่โตทำให้ไม่ได้ขนาดมาตรฐาน ควรปลิดออกเช่นกัน ผลที่ได้มาตรฐานขนาดใกล้เคียงกันจำหน่ายง่าย ในระยะติดผลต้องคอยกลบดินโคนต้นหรือพูนโคนป้องกันการโค่นล้ม เพราะน้ำหนักผลไม่สม่ำเสมอกัน หรือใช้การปลิดผลไม่ให้ต้นรับน้ำหนักมากด้านใดด้านหนึ่งก็ป้องกันต้นโค่นล้มได้
เขียนโดย Sivakorn (korn.tym@gmail.com) ที่ 23:11 2 ความคิดเห็น:

ฤดูที่เหมาะสมในการปลูกมะละกอ
ฤดูปลูกมะละกอ
ใน การปลูกมะละกอเพื่อให้ได้ผลผลิตสูง และให้ได้ประโยชน์ทางด้านการค้ามากที่สุด ควรที่จะปลูกให้เหมาะสมตามฤดูกาล  และช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเพาะกล้ามะละกอ ก็คือในช่วงกลางหรือปลายเดือนมกราคมครับ ซึ่งจะสามารถย้ายต้นกล้าลงปลูกได้ประมาณกลางเดือนมีนาคม และจะเก็บเกี่ยวผลได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีผลไม้ประเภทอื่น ๆ ในท้องตลาดออกน้อยทำให้มะละกอมีราคาสูง ถึงแม้ว่าเกษตรกรชาวสวนที่ปลูกโดยอาศัยน้ำฝน ก็จะมีผลผลิตออกขายได้ยาวนาน แต่ถ้าเพาะเมล็ดช้าหรือย้ายปลูกช้าทำให้ช่วงที่มะละกอออกดอกติดผลตรงกับช่วง แล้งต้องใช้น้ำชลประทานมาก จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก การเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงที่ได้ราคาสูงจะได้น้อยกว่า
เขียนโดย Sivakorn (korn.tym@gmail.com) ที่ 23:03 ไม่มีความคิดเห็น:

การเตรียมเมล็ดพันธุ์มะละกอที่ดี ก่อนนำไปเพาะปลูก
การเตรียมเมล็ดมะละกอก่อนนำไปเพาะปลูก
เมื่อผลแก่เมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีดำและจะหลบคมมีดได้ การเอาเมล็ดที่อยู่ในผลที่แก่ไปเพาะทันทีจะมีอัตราการงอกของเมล็ดต่ำ เพราะเยื่อหุ้มเมล็ดชั้นนอกมีสารยับยั้งการงอกอยู่ การที่จะทำให้มีการงอกสูงขึ้นทำได้โดย เอามือขยี้เปลือกหุ้มเมล็ดออกให้หมด หรือเอาเมล็ดที่รวบรวมจากผลใส่ในถ้วยหรือกะละมังใส่น้ำให้ท่วมเมล็ดทิ้งไว้ 48 ชั่วโมง เยื่อเมล็ดจะเน่าหลุดง่าย เอามือขยี้เยื่อหุ้มเมล็ดออกแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง แล้วนำเมล็ดคลุกยาป้องกันเชื้อราให้ทั่ว นำไปเพาะได้ทันทีหรือถ้าจะเก็บรักษาเมล็ดไว้ให้นาน ก็เอาเมล็ดคลุกยาป้องกันราให้ทั่วแล้วใส่ในถุงพลาสติกผูกปากถุงให้แน่น นำไปเก็บไว้ในที่เย็น เช่น ช่องผักของตู้เย็น เป็นต้น

การเตรียมต้นกล้ามะละกอก่อนปลูก
มะละกอไม่เหมาะที่จะหยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลในชั้นแรกมากในพื้นที่ๆ กว้างขวาง เพราะต้นกล้าที่งอกใหม่ ๆ ต้องการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้นการเตรียมต้นกล้ามะละกอให้แข็งแรงก่อน แล้วจึงย้ายปลูกลงแปลงปลูก จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าการหยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง

การเตรียมต้นกล้ามะละกอ มี 2 แบบ คือ
1. เพาะเมล็ดลงถุง
การเพาะเมล็ดลงถุงโดยตรงนั้น เป็นวิธีที่สะดวก สามารถทำได้โดยการเตรียมดินผสมที่จะใช้เพาะเมล็ดให้ร่วนโปร่ง(อัตราส่วนดินผสม : ดิน 3 ส่วน+อินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันปุ๋ยคอก) ปุ๋ยคอกควรเป็นปุ๋ยคอกเก่าที่สลายตัวแล้วและไม่ร้อน ส่วนอินทรียวัตถุอาจใช้เป็นเศษหญ้าสับ แกลบหรือเปลือกถั่วก็ได้ แล้วแต่จะหาอะไรได้ในท้องถิ่น    นำดินที่ผสมแล้วใส่ถุงขนาด 2 x 6 นิ้ว ที่เจาะรูระบายน้ำเรียบร้อยแล้วประมาณ 4 รู ตั้งเรียงไว้กลางแจ้งในบริเวณที่สามารถให้น้ำได้อย่างสม่ำเสมอทุกวัน หลังจากนั้นฝังเมล็ดลงไปใต้ดินให้ลึกประมาณครึ่งเซนติเมตรถุงละ 3 เมล็ด รดน้ำให้ชุ่มทุกวันเช้าเย็น เมล็ดจะเริ่มงอกภายใน 10-14 วัน หลังปลูกเมื่อต้นมะละกอมีใบจริง 2-3 ใบ ให้เลือกกล้าที่แข็งแรงเอาไว้ ถอนต้นที่อ่อนแอออก

***ในการเพาะเมล็ดนี้ ควรฉีดพ่นยาป้องกันกำจัดราพวกแมนโคเซบ ผสมยาป้องกันแมลงประเภทคาร์บาริลและยาจับใบฉีดพ่นครั้งแรกเมื่อต้นกล้าเริ่มงอกและหลังจากนั้นฉีดพ่นทุก ๆ 10 วัน จนกว่าจะย้ายกล้าลงแปลงปลูก ซึ่งจะสามารถย้ายกล้าปลูกเมื่อเพาะเมล็ดได้ 45-60 วัน

***หลังจากถอนแยกต้นกล้าเหลือต้นเดียวหรือสองต้นแล้ว อาจสามารถเร่งให้ต้นกล้าเจริญเติบโตได้เร็วขึ้น โดยให้ปุ๋ยสูตร 21-21-21 ที่มีธาตุอาหารรองผสมอยู่ด้วยโดยใช้ปุ๋ยอัตรา 2 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร และผสมยาจับใบฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน

2. เพาะเมล็ดลงแปลงเพาะแล้วย้ายลงถุง
เตรียมแปลงเพราะกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 3-5 เมตร ให้ความยาวแปลงอยู่ในแนวดินเหนือใต้ย่อยดินให้ละเอียดและผสมปุ๋ยคอก ประมาณตารางเมตรละ 2 กิโลกรัม คลุกเคล้าปุ๋ยคอกกับดินแล้วย่อยให้เข้ากัน ยกเป็นรูปแปลงสูงจากระดับดินเดิม 15 เซนติเมตร แล้วใช้ไม้ขีดทำร่องแถว ตามความกว้างของแปลงลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ให้แถวห่างกัน 25 เซนติเมตร จากนั้นโรยเมล็ดมะละกอในร่องแถวให้ห่างกันพอประมาณตลอดแปลง แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ผสมด้วยยาฆ่าแมลงเพื่อป้องกันมดคาบเมล็ด อาจใช้เซฟวิน 85 หรือ S-85 ก็ได้และรดน้ำให้ชุ่มทุกวันเช้า-เย็น เมื่อต้นกล้ามีใบจริงได้ 2-3 ใบ หรือประมาณ 21-25 วัน หลังจากเพาะให้ย้ายกล้าลงถุงพลาสติกขนาด 2x6 นิ้ว ถุงละ 1 ต้น ตั้งเรียงไว้ในที่มีแสง 50% ฉีดพ่นยาป้องกันโรคแมลงและให้ปุ๋ยเช่นเดียวกับการเพาะเมล็ดลงถุงโดยตรง

การเพาะเมล็ดลงกระบะพลาสติก ก็ปฏิบัติคล้าย ๆ กัน โดยเอากระดาษหนังสือพิมพ์รองก้นตะกร้าพลาสติก แล้วใส่ดินผสมเช่นเดียวกับที่เตรียมสำหรับเพาะในถุงลงไปเกลี่ยหน้าดินให้เรียบ ทำร่องแถวเพราะห่างกันประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วนำเมล็ดมะละกอหยอดลงไป รดน้ำซึ่งผสมน้ำยากันมดให้ชุ่ม รดน้ำให้ชุ่มทุกวันเช้า-เย็น เมื่อกล้ามีใบจริงแล้วจึงย้ายลงถุงต่อไป และเมื่อต้นกล้าในถุงแข็งแรงดีแล้ว จึงนำไปปลูกได้ ระยะเวลานับตั้งแต่เพาะเมล็ดจนถึงย้ายกล้าลงปลูกในแปลงใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเพาะกล้ามะละกออยู่ในช่วงกลางเดือนมกราคม สามารถย้ายกล้าปลูกได้ในราวกลางเดือนมีนาคม และจะเริ่มเก็บผลได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งจะมีผลไม้ชนิดอื่น ๆ ในท้องตลาดออกน้อยทำให้จำหน่ายได้ราคาสูง

การเลือกพื้นที่ปลูกมะละกอ
มะละกอ เป็นไม้ผลที่ชอบดินร่วนปนทราย ดินเหนียวปนดินร่วนหรือดินร่วนที่มีการระบายน้ำที่ดี มีอินทรียวัตถุมาก ไม่ชอบน้ำขังและควรมีหน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร ช่วงระดับความเป็นกรด-ด่าง (PH) ที่เหมาะสมคือ 5.5-7 มะละกอไม่ทนดินเกลือและไม่ทนลม แหล่งปลูกจึงควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมแรง ถ้าหลีกเลี่ยงพื้นที่มีลมแรงไม่ได้ควรทำแนวไม้กันลมไว้โดยรอบ ก็จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง
มะละกอจะเจริญเติบโตได้ดี ถ้าได้รับแสงแดดเต็มที่ มะละกอมีก้านใบยาว และกลุ่มใบจะมีมากที่บริเวณยอด จึงไม่ควรปลูกมะละกอให้ชิดกันเกินไป จะทำให้ไม่สะดวกในการป้องกันกำจัดศัตรูของมะละกอ  ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 4 x 3 เมตร หรือ 3 x 3 เมตร หรือ 2.5 x 3 เมตร แหล่งปลูกมะละกอควรอยู่ใกล้เมืองหรือมีทางคมนาคมสะดวก เนื่องจากผิวมะละกอบางทำให้เกิดการบอบช้ำในการขนส่งได้ง่ายกว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ

การเตรียมแปลงปลูกมะละกอ
1.ไถพื้นที่ปราบวัชพืช 2 ครั้ง ครั้งแรกไถด้วยผาน 3 หรือผาน 4 ครั้งที่ 2 ให้ย่อยดินให้เล็กด้วยผาน 7
2.วัดระยะแปลงปลูกตามความต้องการ ควรปักหลักเล็ก ๆ ห่างจากหลักหลุมปลูกอีก 2 หลัก โดยปักให้ห่างข้างละ 50 เซนติเมตร
3.ขุดหลุมปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยมให้ขอบหลุมห่างจากหลักกลางประมาณ 25 เซนติเมตร และขุดลึก 50 เซนติเมตร เอาดินขึ้นไว้บนปากหลุมอย่าให้โดนหลักเล็กทั้ง 2 ซึ่งจะเป็นหลักบังคับระยะปลูก
4.ใส่ปุ๋ยคอกเก่า ๆ ประมาณ 1 พลั่ว หรือครึ่งบุ้งกี๋ลงบนดินที่ขุดขึ้นมาและใส่ร๊อกฟอสเฟตลงไปอีก 100 กรัม ถ้าไม่มีร๊อกฟอสเฟตให้ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ใส่แทนจำนวน 20 กรัม หรือประมาณ 2 ช้อนแกงต่อหลุม คลุกเคล้าดินกับปุ๋ยให้เข้ากันดี แล้วใช้จอบกลบดินลงหลุมให้เสมอปากหลุม
5. ก่อนปลูกหาไม้ไผ่ยาวประมาณ 1 เมตร ทำเครื่องหมายที่ตำแหน่ง 0.00, 0.50 และ 1 เมตร เป็นเครื่องหมายต้นปลูก เพื่อให้แถวปลูกตรงกันทุกต้น

การคัดเลือกมะละกอไปเพาะพันธุ์ เพื่อการค้า
หลักการคัดเลือกมะละกอ ไปเพาะพันธุ์เพื่อการค้า
การเลือกมะละกอไปทำพันธุ์ในการค้า เราต้องการมะละกอสมบูรณ์เพศมาก จึงต้องทำการผสมตัวเองหรือผสมข้ามต้นสมบูรณ์เพศเพื่อให้ได้ผลยาวมากในที่นี้จะได้ผลยาว 2 ส่วน ประมาณ 66% ผลกลมต้นตัวเมีย 33% การรักษาสายพันธุ์หรือทำเมล็ดพันธุ์จึงควรเลือกต้นมะละกอสมบูรณ์เพศที่มีความแข็งแรง ติดผลดกในแปลงของท่านเอง แล้วใช้ถุงกระดาษหรือถุงผ้าขาวบางคุลมดอกสมบูรณ์เพศของต้นสมบูรณ์เพศที่จะบานในวันรุ่งขึ้นไว้ แขวนป้ายชื่อพันธุ์พร้อมวันที่ การคลุมถุงจะคลุมไว้ประมาณ 7 วัน แล้วถอดเอาถุงออก ถ้าเป็นมะละกอพันธุ์ปากช่อง หนึ่งผลจะได้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 150-350 เมล็ด มะละกอพันธุ์แขกดำจะมีเมล็ด 438-1,044 เมล็ดต่อผล ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องผสมไว้หลาย ๆ ผลเพื่อให้เพียงพอต่อการเพาะปลูกในพื้นที่  การผสมตัวเองของมะละกอ แม้ว่าทำเพียง 4 ชั่วอายุ ก็จะทำเป็นสายพันธุ์คัดได้ ถ้าปลูกในหมู่เดียวกัน ห่างจากพันธุ์อื่นประมาณ 1 กิโลเมตร ก็เป็นพันธุ์บริสุทธิ์ที่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ได้ เมล็ดที่ได้เมื่อนำไปเพาะจะได้ต้นสมบูรณ์เพศ 2 ส่วน ต้นตัวเมีย 1 ส่วน การเก็บเมล็ดทำพันธุ์ต้องเลือกเก็บเมล็ดจากผลที่มีผิวสีเหลืองหรือส้มที่ผลประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ระวังอย่าให้ผลที่เก็บมาได้รับความกระทบกระเทือน หรือช้ำเสียหาย
เขียนโดย Sivakorn (korn.tym@gmail.com) ที่ 22:52 ไม่มีความคิดเห็น:

การสังเกตมะละกอต้นใหน..? ต้นตัวผู้..ต้นตัวเมีย..หรือต้นกระเทย
เทคนิคการสังเกตมะละกอ ต้นใหน..? เป็นต้นตัวผู้..ต้นตัวเมีย..หรือต้นกระเทย
ต้นมะละกอแบ่งออกเป็น 3 เพศ
คือ ต้นตัวผู้ ต้นตัวเมียและต้นสมบูรณ์เพศ หรือเรียกอีกอย่างว่ามะละกอต้นกระเทย โดยทั่วไปจะสังเกตเพศได้เมื่อต้นมะละกอ ออกดอกแล้วเท่านั้น ขณะนี้ยังไม่มีวิธีการใดที่จะบอกเพศมะละกอในขณะที่ยังเป็นต้นกล้าเล็ก ๆ หรือก่อนที่มะละกอออกดอกได้
***เพศของดอกมะละกอมีตัวถ่ายทอดพันธุกรรม คือ ยีนส์เพียงคู่เดียวเป็นตัวควบคุม มีวิธีการสังเกตดังนี้
1.มะละกอต้นตัวผู้
มีช่อดอกยาวแตกแขนงเป็นสาย 70-120 เซนติเมตร ดอกบนช่อเป็นดอกสมบูรณ์เพศที่มีอวัยวะเพศเมียปรากฏอยู่แต่ไม่ทำหน้าที่ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกสีขาวหรือครีมโคนกลีบเป็นหลอด ปลายกลีบแยกกัน 5 แฉก บริเวณโคนติดกัน กลีบที่แยกกันนั้นจะมีอับเกสรตัวผู้สีเหลือง 10 ชุด  ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส และช่วงแสงต่อวันน้อย รังไข่ของดอกมะละกอต้นตัวผู้อาจเจริญพัฒนาติดเป็นผล หลังจากรับการถ่ายละอองเกสรตัวผู้ได้ มะละกอต้นตัวผู้นี้ปกติไม่ให้ผลคุ้มค่าการลงทุน ควรทำการตัดทิ้ง
2. มะละกอต้นตัวเมีย
จะเป็นต้นตัวเมียที่แท้จริง โดยมีช่อดอกยาวปานกลาง 5-20 เซนติเมตร ดูจากภายนอกดอกยังตูมอยู่จะมีลักษณะดอกป้อม กลีบดอกทั้ง 5 กลีบ จะแยกจากกัน ภายในมีรังไข่ อ้วนสั้น สีขาว มีส่วนปลายรังไข่เป็นแฉก 5 แฉก สีเหลืองอมเขียว แต่ละแฉกก็มีปลายเป็นฝอย ผลจากดอกตัวเมียจะมีรูปร่างกลมหรือรูปทรงกระบอกสั้น ๆ หรือรูปไข่
3. มะละกอต้นสมบูรณ์เพศ (ต้นกะเทย)
ช่อดอกแตกแขนงสั้น อาจจะประกอบด้วยดอกตัวผู้และดอกสมบูรณ์เพศในช่อดอกเดียวกันก็ได้ แต่ดอกสมบูรณ์เพศก่อนบานจะมีลักษณะเรียวยาว กลีบดอกส่วนที่เป็นหลอดจะหุ้มส่วนของรังไข่ ส่วนกลีบดอกที่แยกกันจะเปิดออกเมื่อดอกบาน ถ้าเด็ดกลีบดอกออกจะเห็นอับเกสรตัวผู้ 10 อัน เรียงรอบใต้ส่วนของยอดเกสรตัวเมีย เมื่อละอองเกสรตัวผู้ฟุ้งกระจาย ขณะดอกบานก็จะผสมตัวเองได้หรือแมลงพาเกสรตัวผู้ไปผสมกับดอกที่บานดอกอื่น หรือดอกตัวเมียบนต้นตัวเมีย ทำให้ติดเป็นผล ผลจากมะละกอต้นสมบูรณ์เพศจะเป็นรูปทรงกระบอกยาว ถ้าดอกสมบูรณ์เพศนั้นมีรังไข่ทรงกระบอกและอับเกสรตัวผู้เกิดบริเวณโคนกลีบดอก เรียกดอกประเภทนี้ว่าอีลองกาต้า (Elongata) ดอกสมบูรณ์เพศที่มีรังไข่เป็นพลูและมีก้านชูอับเกสรตัวผู้อยู่ที่โคนรังไข่ เป็นดอกแบบแพนเดรีย (Pentandria) ทำให้ได้ผลเป็นพลูแบบผลทุเรียน ตลาดไม่ต้องการ ควรเด็ดทิ้งขณะผลเล็กๆ ดอกสมบูรณ์เพศแบบอินเทอร์มีเดียท (Intermediate)คือ ดอกสมบูรณ์เพศที่มีก้านชูอับเกสรตัวผู้อยู่บริเวณรังไข่ด้านใดด้านหนึ่ง ตรงกลางของรังไข่เมื่อผสมติดแล้วทำให้ผลมีแผลเป็น เบี้ยวด้านหนึ่ง ตลาดไม่ต้องการถ้าพบผลแบบนี้ขณะอ่อน ๆ อยู่ให้เด็ดทิ้ง
ยีนที่ควบคุมและกำหนดเพศมะละกอมีดังนี้
Mm คือมะละกอเพศเมีย
M1m คือมะละกอเพศผู้
M2m คือมะละกอสมบูรณ์เพศ (ต้นกระเทย)
M1M1, M2M2, M1M2 เกิดลีทอลยีน(Letthlgene) ไม่มีเมล็ด
แม่พันธุ์ x พ่อพันธุ์ อัตราส่วนของลูก
เพศเมีย :สมบูรณ์ : เพศผู้
ต้นเพศเมีย (mm) x ต้นเพศผู้ (M1m) 1 : - : 1
ต้นเพศเมีย (mm) x ต้นสมบูรณ์เพศ (M2M) 1 : 1 : -
ต้นสมบูรณ์เพศ (M2m) x เพศผู้ (M1m) 1 : 1 : 1
ต้นสมบูรณ์เพศ (M2m) x สมบูรณ์เพศ (M2m) 1 : 2 : -

พันธุ์มะละกอ ที่ปลูกเป็นการค้า
รวมพันธุ์มะละกอที่ปลูกเป็นการค้า
1. มะละกอพันธุ์พื้นเมือง
เป็นมะละกอที่ปลูกกันมานานโดยมีการปล่อยให้มีการผสมข้ามกันเองตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะมีผลขนาดกลางถึงขนาดเล็ก เนื้อบาง ช่องว่างในผลกว้าง ผลสุกเนื้อสีเหลืองค่อนข้างเละ จึงนิยมบริโภคดิบมากกว่า การออกดอกติดผลช้าเป็นมะละกอที่ปล่อยให้ขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือปลูกตามหัวไร่ปลายนา จึงมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี จึงพบในท้องถิ่นและภาคต่าง ๆ ที่ไม่ได้มุ่งหวังทำเพื่อการค้า
2. มะละกอพันธุ์แขกดำ
เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมปลูกกันมากและเป็นที่ต้องการของตลาด ลักษณะเป็นมะละกอต้นเตี้ย ก้านใบสีเขียว ก้านใบสั้น ในหนากว่ามะละกอพันธุ์อื่น ๆ ขนาดผลมีส่วนหัวและท้ายของผลเกือบเท่ากัน เปลือกหนาสีเขียวเข้มผิวขรุขระเล็กน้อย ขนาดผลประมาณ 1.2-1.5 กิโลกรัม ผลสุกมีรสหวาน เมล็ดน้อยช่องว่างภายในผลแคบ เนื้อแข็งสีแดง ขนาดเหมาะที่ทำส้มตำจะเก็บในขณะที่มีน้ำหนัก 500-750 กรัม
3. มะละกอพันธุ์โกโก้
เป็นมะละกอพันธุ์ที่นำมาปลูกนานแล้ว ต้นเล็ก ๆ จะมีจุดประสีม่วง ก้านใบมีสีม่วง ลักษณะผล ส่วนปลายผลเล็กเรียว ส่วนหัวผลซึ่งใกล้ขั้วมีลักษณะเป็นทรงกระบอกใหญ่ ผิวสีเขียว ผลค่อนข้างเรียบ ช่องว่างระหว่างผลเป็นเหลี่ยมชัดเจน ช่องว่างภายในผลกว้าง สุกแล้วเนื้อสีแดงหรือส้มเหมาะสำหรับบริโภคสุก
4. มะละกอสายพันธุ์น้ำผึ้ง
ลักษณะต้นเตี้ย ก้านใบสีเขียวอ่อนหรือเขียวปนขาว ก้านใบยาวกว่าแขกดำ ใบกว้างกว่าแขกดำแต่ใบบางกว่า จำนวนแฉกของใบมีน้อยกว่าแขกดำและโกโก้ ผลค่อนข้างโต ผลด้านขั้วจะเล็กแล้วขยายโตขึ้นบริเวณใกล้ปลายผล เปลือกผลสีเขียว เนื้อเมื่อสุกมีสีส้มปนเหลือง หรือสีส้ม เนื้อเละรสหวาน
5. มะละกอพันธุปากช่อง1
เป็นพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่สถานีวิจัยปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ได้ผสมพันธุ์นี้ขึ้นจากการนำเอามะละกอสายพันธุ์ซันไรส์ โซโล จากประเทศไต้หวันมาทำการปลูกและผสมพันธุ์ตัวเองอยู่ 5 ชั่วอายุ พันธุ์ปากช่อง1 มีลักษณะที่ดีเด่นคือเป็นมะละกอต้นค่อนข้างเตี้ยมาก ให้ผลผลิตครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 8 เดือน หลังจากปลูกผลในระยะแรกอยู่เหนือจากระดับพื้นดินประมาณ 70-80 เซนติเมตร ติดผลค่อนข้างดกคือ ให้ผลผลิตประมาณ 30-40 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี ผลลักษณะกลมขนาดเล็กสามารถรับประทานคนเดียวหมดผล หรือถ้าผลขนาดกลางก็อาจรับประทานได้ 2 คน มีน้ำหนักประมาณ 350 กรัมต่อผล ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ  เนื้อแข็งกรอบสีส้มหนาประมาณ 1.8 เซนติเมตร รสชาติหอมหวาน มีเปอร์เซ็นต์น้ำตาลอยู่ค่อนข้างสูง ผลสุกจนมีผิวสีเหลืองทั้งผล สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติได้นาน โดยที่มีรสหวานเหมือนเดิมและเนื้อก็ไม่เละด้วย นอกจากนี้แล้วชาวสวนยังสามารถที่จะเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกได้เอง ทั้งยังสามารถเพิ่มขนาดของผลให้ใหญ่ขึ้นมีน้ำหนักถึง 600 กรัมต่อผล ถ้าหากตลาดต้องการโดยการเด็ดช่อดอกด้านข้างออกเหลือดอกกลางไว้ก็จะได้มะละกอผลใหญ่ตามต้องการและ คุณสมบัติที่เด่นกว่ามะละกอพันธุ์อื่น ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างมีความต้นทานต่อโรคใบด่าง ซึ่งถือเป็นโรคที่สำคัญที่สุดของมะละกอ
การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์มะละกอ
การเลือกเมล็ดมะละกอมาเพาะพันธุ์ เพิ่มผลผลิต
ในการเลือกเมล็ดมะละกอมาทำการเพาะพันธุ์ หรือขยายพันธุ์ปลูกนั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมล็ดที่เรานำมาเพาะนั้น เมื่อเพาะปลูกลงดินแล้ว จะมีผลผลิตออกมาหรือไม่ หรือถ้าหากติดดอกออกผลแล้ว จะเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่ วันนี้มีเทคนิคดีๆ มีประโยชน์มาฝากครับ
ข้อควรรู้เกี่ยวกับมะละกอ 4 อย่างคือ
1. หากคุณนำเมล็ดมะละกอจากผล ที่เป็นต้นกะเทยมาเพาะพันธุ์ จะได้ต้นกะเทย  3 ส่วน อีก 1 ส่วนจะได้ต้นตัวเมียครับ
2. หากคุณนำเมล็ดมะละกอจากผล ที่เป็นต้นตัวเมียมาเพาะพันธุ์  จะให้ผลกลมๆ ได้ต้นตัวเมียและต้นตัวผู้ด้วย ซึ่งตลาดไม่ค่อยนิยม หรือไม่ค่อยต้องการ หรือขายไม่ค่อยได้นั่นเองครับ
3. มะละกอต้นตัวผู้เมื่อโตขึ้นแล้ว จะมีแต่เกสรอย่างเดียวไม่ติดผลครับ
4. มะละกอต้นกะเทย จะให้ผลที่ยาวรี   เป็นที่นิยมของตลาด เรียกว่ามีเท่าไรก็ขายได้นั่นเองครับ
 
มะละกอโตไว ด้วยน้ำหมักสูตรเด็ด

น้ำหมักชีวภาพเร่งผลมะละกอ

วันนี้ขอนำเสนอเทคนิคการเร่งผลมะละกอ ด้วยผลสุกของมะละกอเองนั่นแหละครับ หรือเรียกอีกอย่างว่า
 ฮอร์โมนเร่งผลผลิตมะละกอก็ว่าได้

วัตถุดิบที่ใช้มีดังนี้

1.มะละกอสุก  30  กก.

2.น้ำตาลทรายแดง  1  กก.

3.น้ำ  10  ลิตร

วิธีทำน้ำหมักชีวภาพเร่งผลมะละกอ

นำมะละกอสุกมาสับให้ละเอียด  เทลงไปถังหมัก เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็เติมน้ำลงไป ปิดฝาทิ้งไว้ในที่ร่ม  หมักไว้ 1 สัปดาห์ ก็สามารถนำใช้ได้ครับ

วิธีการใช้

นำไปรดโคนต้นมะละกอ โดยเว้นระยะห่างบริเวณรอบโคนต้นประมาณ 1 ฟุต  ใช้น้ำหมักอัตราส่วน  20 ซีซี ผสม น้ำ 20 ลิตร  ใช้สัปดาห์ละ 1ครั้ง จะช่วยเร่งการเจริญเติบโตของมะละกอได้เป็นอย่างดี
ที่มาจากhttp://raithunyaboon.blogspot.com/2014/01/8_21.html

ปลูกมะละกอ พันธุ์ฮอนแลนด์


https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPnXOW2zjaJE-FSutUPx5-62-Xfc_Y-40rRuv9za-zyHDJh4pZ4gUOvKNXqllnB10LsbUtfvm8T5T2-7G3FQPXpDfbCqQOYR7d4Xf0BCKh-Mku5AsCgx6snIkwEFUDbw2Gm-k0zURrcJ49/s1600/

การปลูกและการดูแลรักษามะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์


มะละกอฮอนแลนด์
มะละกอเป็นผลไม้ยืนต้น ที่คนไทยนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย ทั้งมะละกอดิบเมนูที่นิยมกันมากก็คือ ส้มตำ ส่วนมะละกอสุก ก็สามารถนำไปรับประทานสดเพื่อสุขภาพ หรือแปรรูปในลักษณะต่างๆ ที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของการปลูกมะละกอนั้นสามารถทำได้แต่ต้องใช้ความอดทนและการเรียนรู้ตลอด อย่างเช่น คุณสมศักดิ์ ม่วงพานิช เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์และพันธุ์แขกดำ ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวเป็นอย่างดี ซึ่งมีรายละเอียดการปลูกและการดูแล ดังนี้

การปลูกมะละกอฮอลแลนด์ : นิยมปลูกโดยวิธีการเพาะเมล็ดแล้วย้ายกล้าลงแปลงปลูก เมื่อต้นกล้ามีอายุได้ประมาณ 1 เดือน
วิธีการเพาะเมล็ดมะละกอฮอนแลนด์

1. นำเมล็ดมะละกอแช่น้ำ 3 คืน โดยเปลี่ยนน้ำที่แช่บ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง
2. นำเมล็ดมะละกอมาเพาะในถุงดินที่เตรียมไว้โดยให้ใส่ 3-4 เมล็ด/ถุง
3. รดน้ำให้ชุ่ม ประมาณ 9-10 วัน เมล็ดก็จะงอก
4. ทำการรดน้ำพอชุ่มวันละ 1 ครั้ง

ขั้นตอนการเตรียมดินและปลูกมะละกอ

1. ทำการเตรียมพื้นที่ โดยการไถ ทำการตากดินไว้ประมาณ 5 วัน
2. ขุดหลุมลึกประมาณ 30ซม.ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2.5X 2.5 เมตร 1 ไร่ จะปลูกได้ ราว 250 ต้น และรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์
3. นำต้นมะละกอปลูกในหลุม กลบดินให้แน่น

การดูแลรักษา

1. รดน้ำพอชุ่ม
2. ใส่ปุ๋ยสูตรผสม12-15-20 โดยระยะการให้ปุ๋ยคือ 1 เดือน/ครั้ง
3. หลังจากที่ลงปลูกมะละกอไปได้ประมาณ 3 เดือน มะละกอทั้ง 3 ต้นที่อยู่ในหลุมเดียวกันจะเริ่มออกดอก ให้ทำการตัดต้นที่เป็นตัวผู้และตัวเมียทิ้ง เหลือไว้แต่ “ต้นกะเทย” เนื่องจากต้นกะเทยจะให้ผลที่ดก และลูกมะละกอที่ออกมาจะยาวสวย เนื้อหนากว่าต้นที่เป็นตัวเมียและตัวผู้ โดยการสังเกตต้นกะเทยนั้นก็ให้ทำการแหวกกลีบดอกดู ถ้าต้นไหนที่มีทั้งเกสรตัวเมียและตัวผู้อยู่ในดอกเดียวกัน
4. หลังจากต้นมะละกออายุได้ 8 เดือนไปแล้ว ก็จะสามารถเก็บผลขายได้ทุกสัปดาห์ ไปจน 3 ปี ต้นมะละกอจึงจะหมดอายุ ไม่สามารถให้ผลผลิตได้ ต้องตัดทิ้ง ปลูกใหม่

เกร็ดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะละกอฮอลแลนด์

- มะละกอฮอลแลนด์จะให้ผลผลิต เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 100 กก. ต่อ ต้น ตลอดอายุการเพาะปลูก
- หลังย้ายปลูก 9 เดือนก็สามารถเก็บผลสุกมะละกอจำหน่ายได้ โดยสังเกตดูที่ผลหากมีแต้มปรากฏอยู่บนผล 2-3 แต้มก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
- สภาพอากาศร้อนจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนดอกกระเทยให้กลายเป็นดอกตัวเมีย และถ้ามีอากาศร้อนมาก ๆ จะทำให้มะละกอไม่ติดดอกได้ จึงควรให้มีความชื้นอย่างเพียงพอในช่วงที่มีอากาศร้อนจัด
- มะละกอจะมีราคาแพงขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน

ลักษณะประจำพันธุ์ของมะละกอฮอลแลนด์

มะละกอฮอลแลนด์ ลำต้นใหญ่สีเขียว ใบมี 11 แฉกใหญ่ กลางใบมีกระโดงใบ 1 ใบ ก้านใบมีสีเขียวตั้งขึ้น ดอกออก เป็นช่อ ติดผลดก รูปทรงกระบอกคล้ายลูกฟักอ่อน อายุ เก็บเกี่ยว 8 เดือน น้ำหนักผลประมาณ 800-2,000 กรัม ต่อผล เนื้อสีแดงอมส้ม ไม่เละ เนื้อหนา 2.5-3.0 เซนติเมตร ความหวานวัดได้ 11-13 องศาบริกซ์ ผลผลิตต่อต้น 60-80 กิโลกรัม จุดเด่นที่มองออกง่ายมากว่าผลมะละกอฮอลแลนด์เป็นอย่างไรนั้น ที่ปลายผลจะป้านคล้ายผลฟักอ่อน

ลักษณะเด่นของมะละกอฮอลลแลนด์

ไม่มีกลิ่นยาง เนื้อหนา รสหวาน เปลือกหนา ทนทานต่อโรค ทนทานต่อการขนส่งให้ผลดก เนื้อแน่นแข็ง น้ำหนักดี รสชาติหวาน ทนทานต่อโรค มีตลาดรองรับ มะละกอพันธุ์นี้มีอายุเก็บเกี่ยว 8 เดือน น้ำหนักผลอยู่ที่ประมาณ 0.8-1.2 กก.ต่อผล เนื้อมีสีแดงอมส้ม ไม่เละ เนื้อหนา 2.5-3.0 เซนติเมตร ผลผลิตต่อต้น 60-80 กิโลกรัม มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์นี้สามารถปลูกได้เกือบทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำขัง ดินที่เหมาะสมควรเป็นดินเหนียวปนทราย

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกมะละกอฮอลแลนด์

สามารถปลูกได้ทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำขัง ดินที่ เหมาะสมมีความเป็นกรดเป็นด่าง 5.5-5.0 ระยะปลูก 2.5x3 เมตร ไร่หนึ่งปลูกได้ 224 ต้น หากปลูกแล้ว ให้น้ำสม่ำเสมอ มะละกอจะให้ผลผลิตที่ดีมาก ปุ๋ยที่ใส่ให้ เริ่มต้นที่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก สำหรับปุ๋ยวิทยาศาสตร์ใช้ สูตร 15-15-15 ระยะที่ติดผลอ่อน ก่อนการเก็บเกี่ยวใส่ สูตร 13-13-21 ใส่รอบๆ ต้น จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ต่อต้น เมื่อปลูกได้ 7-8 เดือน มะละกอฮอลแลนด์จะสุกแก่ เริ่มเก็บได้ ปริมาณผลผลิต หากดูแลปานกลาง จะได้ผลผลิตราว 5-8 ตัน ต่อไร่

วิธีการเก็บเกี่ยวมะละกอฮอลแลนด์

เลือกเก็บเฉพาะผลที่สุก 5-10 เปอร์เซ็นต์ คือ ผิวมีแต้มสีเหลืองเล็กน้อย
ที่มาจากhttp://papaya-trip.blogspot.com/2011/10/blog-post_10.html

มะละกอ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วิกิพีเดีย เรื่อง มะละกอไร้เมล็ด
มะละกอ เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง สูงประมาณ 5-10 เมตร มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง ถูกนำเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วเนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม นิยมนำมารับประทานทั้งสดและนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ ฯลฯ หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ได้
ลักษณะทั่วไป
มะละกอเป็นไม้ล้มลุก (บางครั้งอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไม้ยืนต้น) เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว 5-9 แฉก เกาะกลุ่มอยู่ด้านบนสุดของลำต้น ภายในก้านใบและใบมียางเหนียวสีขาวอยู่ มะละกอบางต้นอาจมีดอกเพียงเพศเดียว แต่บางต้นอาจมีดอกได้ทั้งสองเพศก็ได้ ผลเป็นรูปรี อาจหนักได้ถึง 9 กิโลกรัม ผลดิบมีสีเขียว และมีน้ำยางสีขาวสะสมอยู่ที่เปลือก ส่วนผลสุก เนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม มีเมล็ดสีดำเล็ก ๆ อยู่ภายในกินไม่ได้

ส่วนต่างๆของมะละกอ
มะละกอมี 3 เพศคือ เพศชาย เพศหญิง และเพศคู่ (hermaphrodite) เพศชายจะผลิตแค่เกสรเพศผู้ ส่วนเพศหญิงจะผลิตได้แค่ผลซึ่งต้องได้รับละอองเกสรจากเพศผู้ก่อนถึงจะออกผลได้ ส่วนเพศคู่สามารถผลิตละอองเกสรได้เองและออกผลได้ภายในดอกเดียวกัน เนื่องจากมันมีทั้งอับละอองเกสรเพศผู้และรังไข่เพศเมีย ทั้งนี้มะละกอที่เป็นที่นิยมปลูกส่วนใหญ่มักเป็นเพศคู่
มะละกอเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆจนเป็นอันดับ3 ของผลไม้เมืองร้อนยอดนิยม ด้วยผลผลิตปีละ 11.22 ล้านตันทหรือคิดเป็นร้อยละ 15.36 ของผลไม้เมืองร้อนทั้งหมด ซึ่งตามหลังมะม่วงที่ร้อยละ 52.86 และสัปปะรดที่ร้อยละ 26.58 ผลผลิตมะละกอเพิ่มขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีให้หลังนี้เนื่องจากการเพิ่มผลผลิตมะละกอของอินเดีย มะละกอกลายเป็นผลผลิตการเกษตรส่งออกที่สำคัญของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและลาตินอเมริกา ทำให้สร้างรายได้ให้ชาวสวนจำนวนมาก นอกจากนี้มะละกอยังเป็นผลไม้ที่กำลังได้รับความนิยมในตลาดอาหารสุขภาพระดับโลก
ในช่วงปี 2008 – 2010 การปลูกมะละกอในระดับโลกเพิ่มขึ้นมาก โดยที่ประเทศ 10 อันดับแรกมีผลผลิตมะละกอคิดเป็นร้อยละ 86.32 ของผลผลิตมะละกอทั้งหมด อินเดียเป็นอับดับที่1ด้วยผลผลิตที่ 38.61% ตามมาด้วยบราซิลที่ 17.50% และอินโดนีเซียที่ 6.89% ส่วนประเทศไทยเป็นอันดับที่9 ด้วยผลผลิตมะละกอคิดเป็น 1.95% ของผลผลิตมะละกอทั้งโลก
มะละกอมีที่มาจากประเทศแถวเม็กซิโกใต้ อเมริกากลาง และช่วงบนของอเมริกาใต้ ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศเขตร้อน การปลูกมะละกอใช้เวลารวดเร็วมาก เนื่องจากมะละกอโตเร็วและสามารถออกผลได้ภายใน 3 ปี และมะละกอสามารถปลูกได้แค่ในประเทศเขตร้อนเนื่องจากมีความอ่อนไหวต่ออากาศสูง อุณหภูมิที่ต่ำกว่า −2 °C (29 °F) จะเป็นอันรายต่อมะละกอได้ ดังนั้นในอเมริกา การปลูกมะละกอสามารถทำได้แค่ในบางพื้นที่ เช่น ตอนใต้ของรัฐฟลอริด้า สวนส่วนตัวในซานดิเอโก นอกจากนี้มะละกอยังต้องการดินที่เป็นดินทรายและค่อนข้างมีน้ำน้อย ดินที่ชุ่มน้ำสามารถทำให้มะละกอตายได้ภายใน 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว

พันธุ์มะละกอในประเทศไทย

1.พันธุ์แขกดำ เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกและรับประทานกันมาก โดยเฉพาะสวนมะละกอในภาคกลาง จะนิยมปลูกพันธุ์แขกดำ เพราะเป็นพันธุ์ที่มีต้นเตี้ย ออกดอกให้ผลเร็ว ก้านใบสีเขียว ใบหนาสีเขียวเข้ม ผลมีขนาดปานกลาง มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ส่วนหัวและส่วนปลายผลมีขนาดเกือบเท่ากันหรือเท่ากัน สีผิวผลเป็นสีเขียวเข้ม และผิวไม่เรียบ ผลสุก เนื้อจะมีสีแดง เนื้อแน่น รสหวาน มีช่องว่างภายในผลแคบ น้ำหนักผลโดยประมาณ 0.6-2.0 กิโลกรัม พันธุ์นี้เหมาะสำหรับการบริโภคผลสุก และส่งตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดฮ่องกงและสิงคโปร์

2.พันธุ์แขกนวล เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับพันธุ์แขกดำมาก และนิยมปลูกในบริเวณภาคกลางเช่นเดียวกัน เป็นพันธุ์ที่มีต้นเตี้ยออกดอกให้ผลเร็ว และให้ผลค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดฤดูปลูก ลักษณะรูปร่างผลเหมือนพันธุ์แขกดำ แต่สีผิวจะมีสีเขียวอ่อน นวล และผิวผลเรียบ ผลสุกเนื้อมีสีแดง เนื้อแน่น พันธุ์นี้นิยมส่งตลาดภาคอีสาน เพราะผลดิบเนื้อแน่น แข็ง จึงเป็นที่ต้องการของตลาดอีสานมาก

3.พันธุ์โกโก้ เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีต้นเตี้ย ลำต้นอาจมีจุดประสีม่วง ก้านใบมีทั้งสีม่วงและสีเขียว รูปร่างผลจะต่างจากพันธุ์แขกดำ ผลของโกโก้ มีส่วนหัวเรียวเล็ก ส่วนปลายผลใหญ่ ขนาดผลใหญ่ มีน้ำหนักผลประมาณ 1.3-2.0 กิโลกรัม ผลสุกเนื้อสีแดง เนื้อหนา แน่น รสหวาน เหมาะสำหรับบริโภคผลสุกและส่งเข้าโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูป

4.พันธุ์สายน้ำผึ้ง ลักษณะคล้ายกับพันธุ์โกโก้ แต่ลำต้นและก้านใบมีสีเขียวอ่อน ก้านใบยาวกว่าพันธุ์อื่นๆ แต่จำนวนแฉกใบน้อยกว่าพันธุ์อื่น ๆ พันธุ์นี้ต้นค่อนข้างสูงและออกดอกติดผลช้า

มะละกอจะมีราคาดีช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคมของทุกปี โดยจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 15 บาท ในการเก็บผลผลิตแต่ละครั้ง ตนเองจะเก็บผลได้ครั้งละ 20 กว่าตัน โดยตนเองจะส่งขายให้กับโรงงานทำซอส และเมื่อทุกครั้งที่เก็บผลโรงงานก็จะมีรถจากโรงงานทำซอสมารับซื้อมะละกอจากสวนของตนเองถึงที่ เฉลี่ยแล้วปีหนึ่งหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดตนเองก็จะเหลือกำไรจากการขายมะละกอประมาณ 300,000-400,000 บาท

ประโยชน์[แก้]
นอกจากการนำมะละกอไปรับประทานสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ แกงส้ม ฯลฯ หรือนำไปหมักเนื้อให้นุ่มได้อีกด้วย เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า พาเพน (Papain) ซึ่งสามารถนำเอนไซม์ชนิดนี้ไปใส่ในผงหมักเนื้อสำเร็จรูป บางครั้งนำไปทำเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยก็ได้

สำหรับสารอาหารในมะละกอนั้น มีดังต่อไปนี้
เนื้อมะละกอสุก
สารอาหาร ปริมาณสารอาหารต่อมะละกอสุก 100 กรัม
โปรตีน 0.5 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
แคลเซียม 24 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม
โซเดียม 4 มิลลิกรัม
ไทอะมีน 0.04 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 0.04 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 0.4 มิลลิกรัม
กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) 70 มิลลิกรัม
สรรพคุณของมะละกอ สรรพคุณของมะละกอมีมากมายนัก ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้ 1. แก้อาการขัดเบา ใช้รากสด (1 กำมือ) 70-90 กรัม รากแห้ง 25-35 กรัม หั่นต้มกับน้ำ กรองดื่มเฉพาะน้ำ วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา(75 มิลลิลิตร) ดื่มก่อนอาหาร

2. เป็นยาระบายอ่อนๆ การกินเนื้อมะละกอสุก ช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ เพราะไปช่วยเพิ่มจำนวนกากไยอาหาร ดังนั้นเนื้อผลสุกมะละกอจะช่วยระบายอ่อนๆ แก้ท้องผูก

สรรพคุณ มะละกอ :

เปลือกมะละกอ - ทำน้ำยาขัดรองเท้าได้ ผลสุก - เป็นมีสรรพคุณป้องกัน หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย

ยางจากผลดิบ - เป็นยาช่วยย่อยโปรตีน ฆ่าพยาธิได้

รากมะละกอ - ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา

ใช้เป็นยาระบาย :ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้

เป็นยาช่วยย่อย: 1. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกง เป็นผักจิ้ม 2. ยางจากผลดิบ หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 กรัม หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อย เพราะในยางมะละกอมีสารที่เรียกว่า Papain

เป็นยากัน หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน: ใช้มะละกอสุกรับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซีสูง

เท้าบวม: เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาว ใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้

แก้เคล็ดขัดยอก: ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก

โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน: ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนามจะหลุดออก

คันเพราะพิษของหอยคัน: ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย

เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง: รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวดข้อปวดหลังได้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง ลดอาการปวดบวม ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนแล้วประคบบริเวณที่ปวด หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ

ถ้าโดนตะปูตำเป็นแผล: ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แผลน้ำร้อนลวก ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปือย ตำพอกที่แผล แผลพุพอง ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้น ใช้พอกหรือทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้ง

แก้ผดผืนคัน: ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้ละเอียดเอาทั้งน้ำและเนื้อทาแผลบ่อยๆ กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปือย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้

ประโยชน์ของพาเพน

ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เบียร์ ไวน์และเครื่องดื่มอื่น ๆ โดยปาเปนจะทำหน้าที่ละลายโปรตีนในผลิตภัณฑ์ และให้สารละลายใสไม่ขุ่นเมื่อเก็บไว้นานหรือที่อุณหภูมิต่ำ
ในโรงงานผลิตเนื้อสัตว์และปลา จะทำให้เนื้อสัตว์นั้นนุ่มเปื่อยเมื่อนำมาประกอบอาหาร
ในอุตสาหกรรมยาและใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยใช้เป็นองค์ประกอบของยาช่วยย่อยอาหาร นอกจากนี้ ยังช่วยรักษาพวกแผลติดเชื้อ เนื่องจากปาเปนมีคุณสมบัติให้เลือดแข็งตัวและยังสามารถใช้ฆ่าพยาธิในลำไส้ ด้วย
ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง โดยผสมปาเปนในน้ำยาแช่หนังจะทำให้หนังเรียบ และนุ่ม
ในอุตสาหกรรมทอผ้า จะใช้ปาเปนฟอกไหมให้หมดเมือก
ในอุตสาหกรรมผลิตกระดาษ
ที่มาจากhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD

หวานฉ่ำ! ญี่ปุ่นนิยมปลูก “มะละกอไร้เมล็ด”

8


ประเทศญี่ปุ่นนิยมปลูก “มะละกอ” สายพันธุ์ไร้เมล็ด เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าซื้อไปรับประทาน เพราะมะละกอสายพัธุ์นี้ขึ้นชื่อในเรื่องของความหวานฉ่ำ และมีผลที่ใหญ่

โดย มะละกอไร้เมล็ดนี้ เป็นผลงานการพัฒนาของศูนย์วิจัยเกษตรศาสตร์นานาชาติญี่ปุ่น แต่มะละกอสายพันธุ์ไร้เมล็ดนี้ให้ผลผลิตน้อย เพราะต้องใช้เทคโนโลยีเนื้อเยื่อในการเพาะปลูก จึงปลูกได้ไม่มากนัก ราคาจึงแพงตามไปด้วย แต่ก็มีผู้คนนิยมซื้อหาไปรับประทาน เพราะมีรสหวาน และบางลูกหนักกว่า 1 กิโลกรัม แต่โดยเฉลี่ยจะหนักลูกละ 840 กรัม ผลสีส้มเข้ม ส่วนเนื้อออกสีส้มแดง และเนื่องจากจงใจผลิตออกมาให้เป็นผลกลม จึงไร้เมล็ด

มีเกษตรกรบางรายซื้อต้นอ่อนของมะละกอไร้เมล็ดไปปลูกประมาณ 200 ต้น และจนถึงบัดนี้ ขายได้ปีละ 300-400 ลูก ในราคาลูกละ 500 เยน หรือประมาณ 150 บาท มีคนมารับซื้อกันอย่างมากมาย จนคาดว่า น่าจะสร้างยอดขายได้ดีกว่าผักเสียอีก เพราะรสชาติหวานฉ่ำ ถ้าต้นมะละกอที่ปลูกไว้สูงเกินไปแล้วสามารถตัดกิ่งลงมาให้เหลือความสูงที่ระดับประมาณ 1 เมตรได้ จากนั้นมันจะแตกกิ่งก้านออกไปด้านข้างแทน และถ้าต้นมะละกอเกิดติดเชื้อ แทนที่จะใช้สารเคมีมาป้องกันการติดเชื้อ เกษตรกรในญี่ปุ่นจะหาทางทำเป็นที่กำบังไม่ให้ต้นโดนน้ำฝนแทน

อีกสาเหตุที่ทำให้มะละกอไร้เมล็ดขายดี เพราะลูกใหญ่นั่นเอง จึงทำให้บางคนซื้อเพื่อนำไปเป็นของขวัญให้กับคนอื่นได้ เมื่อลูกมะละกอขายดี ก็พลอยทำให้ต้นอ่อนของมะละกอสายพันธุ์นี้ขายดีตามไปด้วย และแม้ว่าต้นอ่อนจะมีราคาขายอยู่ที่ต้นละ 1,300 เยน หรือประมาณ 400 บาท แพงกว่าต้นอ่อนมะละกอสายพันธุ์อื่น แต่เกษตรกรยังรับซื้อต้นอ่อนของมะละกอไร้เมล็ดไปปลูกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่มาจากhttp://www.springnews.co.th/lifestyle/238422