
ประเทศญี่ปุ่นนิยมปลูก “มะละกอ” สายพันธุ์ไร้เมล็ด เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าซื้อไปรับประทาน เพราะมะละกอสายพัธุ์นี้ขึ้นชื่อในเรื่องของความหวานฉ่ำ และมีผลที่ใหญ่
โดย มะละกอไร้เมล็ดนี้ เป็นผลงานการพัฒนาของศูนย์วิจัยเกษตรศาสตร์นานาชาติญี่ปุ่น แต่มะละกอสายพันธุ์ไร้เมล็ดนี้ให้ผลผลิตน้อย เพราะต้องใช้เทคโนโลยีเนื้อเยื่อในการเพาะปลูก จึงปลูกได้ไม่มากนัก ราคาจึงแพงตามไปด้วย แต่ก็มีผู้คนนิยมซื้อหาไปรับประทาน เพราะมีรสหวาน และบางลูกหนักกว่า 1 กิโลกรัม แต่โดยเฉลี่ยจะหนักลูกละ 840 กรัม ผลสีส้มเข้ม ส่วนเนื้อออกสีส้มแดง และเนื่องจากจงใจผลิตออกมาให้เป็นผลกลม จึงไร้เมล็ด
มีเกษตรกรบางรายซื้อต้นอ่อนของมะละกอไร้เมล็ดไปปลูกประมาณ 200 ต้น และจนถึงบัดนี้ ขายได้ปีละ 300-400 ลูก ในราคาลูกละ 500 เยน หรือประมาณ 150 บาท มีคนมารับซื้อกันอย่างมากมาย จนคาดว่า น่าจะสร้างยอดขายได้ดีกว่าผักเสียอีก เพราะรสชาติหวานฉ่ำ ถ้าต้นมะละกอที่ปลูกไว้สูงเกินไปแล้วสามารถตัดกิ่งลงมาให้เหลือความสูงที่ระดับประมาณ 1 เมตรได้ จากนั้นมันจะแตกกิ่งก้านออกไปด้านข้างแทน และถ้าต้นมะละกอเกิดติดเชื้อ แทนที่จะใช้สารเคมีมาป้องกันการติดเชื้อ เกษตรกรในญี่ปุ่นจะหาทางทำเป็นที่กำบังไม่ให้ต้นโดนน้ำฝนแทน
อีกสาเหตุที่ทำให้มะละกอไร้เมล็ดขายดี เพราะลูกใหญ่นั่นเอง จึงทำให้บางคนซื้อเพื่อนำไปเป็นของขวัญให้กับคนอื่นได้ เมื่อลูกมะละกอขายดี ก็พลอยทำให้ต้นอ่อนของมะละกอสายพันธุ์นี้ขายดีตามไปด้วย และแม้ว่าต้นอ่อนจะมีราคาขายอยู่ที่ต้นละ 1,300 เยน หรือประมาณ 400 บาท แพงกว่าต้นอ่อนมะละกอสายพันธุ์อื่น แต่เกษตรกรยังรับซื้อต้นอ่อนของมะละกอไร้เมล็ดไปปลูกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่มาจากhttp://www.springnews.co.th/lifestyle/238422